วันพุธ, ตุลาคม ๑๗, ๒๕๕๐

Bulbophyllum auratum (Lindl.) Rchb.f.

Bulbophyllum auratum (Lindl.) Rchb.f. 1861 มีชื่อพ้องคือ Cirrhopetalum auratum Lindl. 1840 (ท. สิงโตร่ม) ดอกสวยงามมาก มีสีตั้งแต่ชมพู ถึงเหลืองนวล แต่มีกลิ่นเหม็นเขียวหรือออกคาว ฤดูดอกราวเดือนกันยายนถึงตุลาคม แต่ก็สามารถออกนอกฤดูได้ (รูปนี้ถ่ายในเดือนมีนาคม) ถ้าสภาพต้นสมบูรณ์ดีและได้น้ำเพียงพอ

Bulbophyllum auratum (Lindl.) Rchb.f. 1861 has another well known synonym as Cirrhopetalum auratum Lindl. 1840 (ท. สิงโตร่ม). It has beautiful umbellate flower inflorescence. The color ranges from pale pink to pale yellow. Unfortunately, it has unpleasant odor. The flowering period is from September to October (in Thailand) and may be sporadic in some conditions. (This picture was taken in March.)
 
Bulbophyllum auratum (Lindl.) Rchb.f. (ท. สิงโตร่ม) ดอกสีชมพูอ่อน (ภาพจาก http://www.orchidsonline.com.au/node/7954)
 
Pale pink flowers of Bulbophyllum auratum (Lindl.) Rchb.f. (ท. สิงโตร่ม) (from http://www.orchidsonline.com.au/node/7954).






หัวรูปไข่หรือกรวยเหมือนหัวหอม สูงประมาณ 1.5-2 ซม. กว้างประมาณ 1-1.5 ซม. สีเขียว (ดอกสีเหลืองนวล) ถึงเขียวอมม่วง (ดอกสีชมพู) เหง้าระหว่างหัวประมาณ 1-1.5 ซม. ใบรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 10-12 x 1.5 ซม. แผ่นใบหนาเหนียว สีเดียวกับหัว โคนใบเรียวเป็นก้าน

ออกดอกจากโคนหัว ช่อดอกยาวประมาณ 6-10 ซม. ปลายสุดมีดอกเป็นช่อ 6-10 ดอก เรียงตัวแผ่เกือบเป็นวงกลม หากต้นสมบูรณ์ดี มีดอกมาก จะเรียงเป็นวงกลมคล้ายร่ม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-3 ซม. ขนาดดอกยาว 1.5-2 ซม. กว้างประมาณ 0.8 ซม.

กลีบเลี้ยงคู่ข้างบิดเข้าในและเชื่อมติดกันตามยาว แผ่เป็นแผ่นกว้าง โค้งนูน กลีบเลี้ยงบนรูปกระเปาะ ปลายเรียวแหลม ปลายกลีบมีขนอ่อนๆ ยาวเป็นเส้น กลีบดอกเรียวปลายแหลม ขอบมีขนอ่อนๆ แต่ละกลีบรวมทั้งกลีบเลี้ยงบน และส่วนโคนกลีบเลี้ยงคู่ข้างมีเส้นสีม่วงแดง หรือน้ำตาลแดง ดอกมีทั้งสีชมพูอ่อน ชมพูอมเหลือง จนถึงเหลืองนวล แผ่นกลีบเลี้ยงคู่ล่างมีตุ่มละเอียดสีชมพูกระจาย ซึ่งเป็นต่อมขับเมือกใสๆ เหมือนหยดน้ำเกาะห้อยจากปลายกลีบ ปากเรียวเป็นจงอย สีเหลืองหรือชมพูตามสีของกลีบอื่นๆ ดอกมีกลิ่นเหม็นเขียวหรือคาว กลิ่นแรงตอนกลางวัน ดอกบานนาน 3-4 วัน

แหล่งที่พบ: ป่าดิบทางภาคใต้ของประเทศไทย
ฤดูดอก: ออกดอกปีละ 2 ครั้งในเดือนกันยายนถึงตุลาคม และมีนาคมถึงเมษายน ถ้าต้นสมบูรณ์ และได้น้ำเพียงพอ
น้ำและความชื้น: ทนน้ำ ชอบอากาศชื้น ทนแล้งไม่ได้นาน
แสงแดด: รำไรถึงปานกลาง 40-60%

กล้วยไม้ชนิดนี้นับว่ามีดอกสวยงามมากชนิดหนึ่ง และช่อดอกทั้งหมดรวมกันแล้วก็มีขนาดกลาง ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป จึงนับเป็นกล้วยไม้ที่น่าเลี้ยงมากชนิดหนึ่ง ยกเว้นกลิ่นเหม็นเขียวหรือคาวที่เป็นข้อเสียสำคัญ โดยรวมแล้วเป็นกล้วยไม้ขนาดเล็ก สามารถปลูกเลี้ยงในกระถางหรือเกาะกิ่งไม้ก็ได้ เครื่องปลูกควรอมความชื้นได้ดี แต่ไม่แฉะจนเกินไป เนื่องจากเป็นกล้วยไม้ป่าทางภาคใต้ของไทย ซึ่งมีฝนตกชุกยาวนานตั้งแต่พฤษภาคมถึงธันวาคม และมีฤดูดอกในช่วงปลายฤดูฝน ดังนั้นถ้ารดน้ำและให้ปุ๋ยสมบูรณ์ดี เสมือนว่าเป็นฤดูฝนตลอดทั้งปี ก็จะออกดอกได้มากกว่าหนึ่งครั้งในหนึ่งปี

ถ้าปรับปรุงพันธุ์ให้กลิ่นหายไป หรือผสมกับกล้วยไม้ชนิดอื่นที่มีกลิ่นหอม และทำให้ดอกบานได้นานขึ้น ก็น่าจะได้ลูกผสมเป็นกล้วยไม้ที่น่าเลี้ยงเป็นไม้กระถาง สำหรับตั้งในห้องทำงานหรือในบ้านได้ เนื่องจากต้องการแสงค่อนข้างน้อย

ไม่มีความคิดเห็น: